skip to Main Content
ส.ก. ร่วมถกงบ 9.2 หมื่นล้าน กทม. ชี้ ‘ห้องทิพย์’-‘หนี้บีทีเอส’

ส.ก. ร่วมถกงบ 9.2 หมื่นล้าน กทม. ชี้ ‘ห้องทิพย์’-‘หนี้บีทีเอส’

วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 5) พ.ศ. 2568 โดยมีนายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง)

 

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 92,000 ล้านบาท กรุงเทพมหานครได้ให้ความสำคัญกับการเร่งสร้างคุณภาพสิ่งแวดล้อมของเมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมสุขภาพและสาธารณสุขของประชาชน รวมทั้งได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม และถือปฏิบัติตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2563 ข้อ 19 ซึ่งระบุว่าการจัดทำงบประมาณต้องคำนึงถึงประมาณการรายรับและฐานะการคลังของกรุงเทพมหานคร ความจำเป็นในการพัฒนากรุงเทพมหานครตามยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนากรุงเทพมหานคร และภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณและเกิดผลสัมฤทธิ์ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ได้กำหนดนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ดังนี้

 

การดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุลภายใต้กรอบประมาณการรายรับ เพื่อความยั่งยืนทางการคลังและความจำเป็นของการใช้จ่ายในการจัดบริการประชาชน โดยให้หน่วยรับงบประมาณจัดลำดับความสำคัญของภารกิจ ตามความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า ศักยภาพของหน่วยงาน ความพร้อมในการดำเนินงาน และขีดความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างสมเหตุสมผล มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด

 

ขณะเดียวกัน บรรดา ส.ก. ได้ลุกขึ้นอภิปรายอย่างดุเดือด  ได้แก่ นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก. เขตจอมทอง อภิปรายว่า สำนักการโยธา ไม่เคยคิดจะปรับปรุงอาคารของฝ่ายนิติบัญญัติบ้างหรือ ตึกสภา กทม. เก่ามาก ขอเรียกร้องให้มีการปรับปรุง ส่วนเรื่องการก่อสร้างสะพานข้ามคลองบางชันบริเวณถนนคู้บอนตนเห็นด้วย แต่สะพานในช่วงวัดสิงห์นั้นสูงและเก่า มีคนล้มบาดเจ็บบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการพิจารณาจากสำนักการโยธาเพื่อปรับปรุงและแก้ไข นอกจากนี้เขตทุ่งครุได้รับผลกระทบจากปัญหาจราจรอย่างมาก แต่มีถนนสายหลักเพียง 2 สาย จำเป็นต้องใช้งบประมาณเข้าไปเพื่อแก้ปัญหาและระบายการจราจร ควรเพิ่มสวัสดิการให้กับพนักงานดับเพลิงและพนักงานกวาดถนน อีกทั้งยังขอให้มีการตรวจสอบและขุดลอกคูคลอง ปัญหาหนี้สินที่ กทม. ค้างชำระกับบริษัท บีทีเอส ซึ่งปัจจุบันก่อให้เกิดดอกเบี้ยสูงถึงวันละ 6,000,000 บาท ด้านการศึกษาที่พบว่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครมีเกณฑ์การอ่านอยู่ในระดับพอใช้เท่านั้น เราควรเริ่มทำโรงเรียนนานาชาติของ กทม.

 

ขณะที่ นายเอกกวิน โชคประสพรวย ส.ก. เขตราชเทวี ได้เปิดประเด็น “ห้องทิพย์” ในโครงการปรับปรุงกายภาพห้องเรียนอนุบาลต้นแบบของสำนักการศึกษา ซึ่งพบว่ามีรายชื่อห้องเรียนแต่ไม่มีห้องอยู่จริง พร้อมตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อครุภัณฑ์ นอกจากนี้ยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงโครงการจัดตลาดของสำนักพัฒนาสังคม ที่ใช้งบประมาณในการคัดสรรผู้ค้าสูงถึง 12 ล้านบาท แต่กลับพบรายชื่อผู้ประกอบการซ้ำซ้อนกันกว่า 30%

 

ด้านการจัดสรรงบประมาณ นายวิรัช คงคาเขตร ส.ก. เขตบางกอกใหญ่ ตั้งข้อสังเกตว่า กทม. จัดงบประมาณแบบ “เตี้ยอุ้มค่อม” เพราะเราใช้จำนวนประชากรตามทะเบียนบ้านเป็นตัวตั้ง ซึ่งมีเพียง 5 ล้านกว่าคน แต่ในความเป็นจริงมีประชากรแฝงและแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาใช้บริการด้วย ทำให้งบประมาณต่อหัวที่แท้จริงเหลือไม่กี่บาท เช่นเดียวกับนายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก. เขตคลองสาน ที่แสดงความกังวลต่อการตั้งตัวชี้วัดของบางสำนักงานเขตที่ใช้ “จำนวนคำร้องขอจากชุมชน” เป็นเกณฑ์ในการของบประมาณ แทนที่จะเป็น “จำนวนเงินงบประมาณที่ใช้จ่ายไปจริง” ซึ่งอาจเป็นการทำงบประมาณแบบขอไปที และยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาการจัดซื้อซ้ำซ้อนที่ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณหรือกลายเป็นเงินค้างท่อ ด้าน นายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยเสนอให้ปรับปรุงวิธีการของบประมาณให้มีความยืดหยุ่น สามารถขอได้ตลอดทั้งปีเมื่อเกิดปัญหาความเดือดร้อน แทนที่จะต้องรอของบประมาณเพียงครั้งเดียวต่อปี

 

นางอนงค์ เพชรทัต ส.ก.เขตดินแดง ได้เน้นย้ำถึงปัญหาสังคมผู้สูงอายุ โดยชี้ว่าสำนักอนามัยมีโครงการดูแลผู้สูงอายุน้อยมาก ทั้งที่กรุงเทพฯ ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว และต้องเตรียมการให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวโดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน

 

นายกิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ ส.ก. เขตทุ่งครุ ได้อภิปรายถึงปัญหาในหลากหลายสำนัก โดยชี้ว่าสำนักการแพทย์และสำนักอนามัยได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ โดย กทม. อาจประชาสัมพันธ์ให้คนมาบริจาค และยังเปิดให้บริการแค่ในเวลาราชการเท่านั้น ทั้งในส่วนของครุภัณฑ์ทางการแพทย์ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และงบประมาณทำหมันสุนัขและแมว ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาและนันทนาการ เช่น สนามกีฬาบางกอกอารีน่า, ศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ บางมด สวนธนบุรีรมย์ และห้องสมุดหลายแห่ง อยู่ในสภาพทรุดโทรมแต่ไม่ได้รับงบประมาณปรับปรุง นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น รถเก็บขยะไม่เพียงพอ ปัญหาอุปกรณ์ทำงานของเจ้าหน้าที่โยธาที่ล้าสมัย และระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผลที่ไม่มีระบบสำรองข้อมูล ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ อีกทั้งศูนย์ดับเพลิงหลักก็สภาพไม่ดี ไม่มีครบ 50 เขต และควรมีปุ่ม Alert ในโรงเรียนและชุมชน ด้านการศึกษา ควรมีระบบ Face Detection และเช็กเด็กตกค้างในรถตู้

 

ขณะที่ นางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ ได้ตั้งข้อสังเกตถึงงบประมาณซ่อมแซมสภา กทม. ที่สูงถึง 194.4 ล้านบาท ว่าเป็นการตั้งงบที่สูงเกินจริง โดยมองว่างบประมาณนี้ปรับมาจากงบประมาณเดิมที่ตกไปในปี 2568 และเสนอให้ปรับลดงบประมาณลงอย่างน้อย 140 ล้านบาท เพื่อนำเงินส่วนต่างไปใช้ในโครงการที่เป็นประโยชน์อื่นๆ

 

นายสัณห์สิทธิ์ เนาถาวร ส.ก.เขตวัฒนา กล่าวว่า ทุกโครงการของทุกสำนักจะต้องมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่คาดว่าประชาชนจะได้รับ มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง เช่น สำนักโยธา ระบบตรวจสอบน้ำหนักรถบรรทุกใช้ได้จริงหรือไม่ การจ้างที่ปรึกษาคุ้มค่าและทำให้เปลืองงบหรือไม่

 

ทั้งนี้ คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานครได้ลุกขึ้นชี้แจงในประเด็นต่างๆ โดย นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงประเด็น “ห้องทิพย์” ว่าการของบประมาณห้องเรียนเพิ่ม เป็นผลมาจากการเตรียมขยายการรับเด็กก่อนวัยเรียนให้มีอายุน้อยลง อย่างไรก็ตาม จะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบรายละเอียดด้านกายภาพอีกครั้งเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า

 

น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชี้แจงเรื่องการดูแลผู้สูงอายุว่า กทม. ดำเนินการในรูปแบบ Health Zone โดยศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลในสังกัด กทม. ทุกแห่ง มีคลินิกผู้สูงอายุที่ดูแลอย่างครบวงจร

 

นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รับเรื่องการปรับปรุงสวนสาธารณะและอาคารไอราวัตพัฒนา โดยระบุว่าได้มีการขอจัดสรรงบประมาณปี 2569 ไว้แล้ว ซึ่งคณะกรรมการกลั่นกรองได้พิจารณาแล้วและอยู่ในร่างข้อบัญญัติ ส่วนเรื่องที่ดินรกร้างได้สั่งการให้ฝ่ายเทศกิจนำข้อมูลมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

 

และนายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ชี้แจงว่าเครื่องตรวจจับน้ำหนักรถบรรทุกมีไว้เพื่อเก็บข้อมูลและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมน้ำหนักรถบรรทุก

 

ภายหลังการอภิปรายกว่า 7 ชั่วโมง นายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร ได้สั่งพักการประชุม โดยจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างข้อบัญญัติงบประมาณฯ ต่อไปในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ผู้ชมทั้งหมด 99 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 9 ครั้ง

This Post Has 0 Comments
กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็น
Back To Top