
คณะกรรมการรักษาความสะอาดฯ เร่ง ผู้ว่าฯ กทม.- ฝ่ายบริหาร แก้ปัญหาคัดแยกขยะ ลดลงร้อยละ 20 ลดภาระงานเจ้าหน้าที่ สร้างความเข้าใจต่อประชาชน
วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 3) พ.ศ. 2568 โดยมีนายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ ในฐานะประธานคณะกรรมการการรักษาความสะอาดและสิ่งแวดล้อม รายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ ว่า ได้มีการประชุมร่วมกับสำนักสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับกรณีศึกษาแนวทางการบริหารจัดการขยะในกรุงเทพมหานครที่มีปริมาณขยะมากที่สุดในประเทศไทยและมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งกรุงเทพมหานครไม่สามารถคัดแยกขยะให้ได้ตามเป้าถึงร้อยละ 80 เพื่อลดการกำจัดขยะให้เหลือร้อยละ 20 คณะกรรมการฯ เห็นว่า กรุงเทพมหานครควรมีระบบการจัดเก็บคัดแยกประเภทขยะเพื่อให้แผนการลดขยะประสบความสำเร็จ
น.ส.ภัทราภรณ์ กล่าวถึงข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการขยะในกรุงเทพมหานคร เช่น การแก้ไข พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับ 2 พ.ศ. 2560 เพื่อปลดล็อกให้กรุงเทพมหานครมีอำนาจในการไม่จัดเก็บมูลฝอยในครัวเรือนที่ไม่ได้จ่ายค่าธรรมเนียมไม่คัดแยกขยะ คัดแยกขยะไม่ถูกประเภท ตามตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการแยกประเภทขยะ ตามข้อเสนอแนะดังนี้
- เปลี่ยนตัวชี้วัดประสิทธิภาพการเก็บค่าธรรมเนียมของสำนักสิ่งแวดล้อมและสำนักงานเขต
- ควรปรับระบบจัดการขยะให้เป็นระบบเดี่ยว ยกเลิกการจัดการขยะแบบแยกระบบใน “โครงการบ้านนี้ไม่เทรวม”
- การปรับรูปแบบจัดเก็บขยะตามประเภทที่พักอาศัยให้เหมาะสม
- ปรับปรุงการสรรหาบุคลากรระดับปฏิบัติการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ควรเร่งกระบวนการจัดทำข้อบัญญัติเพื่อเพิ่มอัตรา ค่าตอบแทน และสวัสดิการแก่บุคลากรเก็บขยะมูลฝอยในกรุงเทพมหานคร ผลักดันการจ้างเหมาเอกชนในการเก็บขยะมูลฝอย
- ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องทำการประชาสัมพันธ์ต่อสื่อมวลชนเพื่อสื่อสารให้ประชาชนได้ตระหนักถึง ความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนต่อสถานการณ์วิกฤตขยะใน กทม. และตอกย้ำว่าทางออกเดียวของกรุงเทพมหานครคือการคัดแยกขยะ นอกจากนี้ควรเพิ่มเติมประเด็นการศึกษา ปัญหางบประมาณขาดดุลกับการจัดการปัญหาขยะที่มีมูลค่ากว่า 7,630 ล้านบาทต่อปี แต่จัดเก็บค่าธรรมเนียมได้เพียง 540 ล้านบาทต่อปี ทำให้สูญเสียโอกาสในการลงทุนพัฒนาปัญหาด้านอื่น
- ปรับปรุงสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งเนื้อหาและรูปแบบการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนและรูปแบบสาธารณะถึงมาตรการขั้นตอนและวิธีการการปฎิบัติการคัดแยกขยะ
- การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการจัดการขยะ ปรับปรุงระบบแอพ BKK Waste Pay และพัฒนา Ai อย่างเป็นระบบ เพื่อลดภาระงานของเขตและป้องกันการใช้ภาพปลอม ป้องกันการอนุมัติลดค่าขยะ แต่ไม่มีการคัดแยกจริง ทำให้ได้สถิติปลอม
- เพิ่มหลักสูตรสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนสังกัด กทม.
- บังคับใช้ถุงขยะใสแทนถุงดำ
ทั้งนี้ น.ส.ภัทราภรณ์ หวังว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และฝ่ายบริหารจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุงการคัดแยกขยะโดยเร็วที่สุด ก่อนจะมีการดำเนินการตามข้อบัญญัติค่าธรรมเนียมใหม่ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อลดความสับสนของประชาชน ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมปรับการดำเนินงานให้ได้ผลลัพธ์จริง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อกรุงเทพมหานคร
ผู้ชมทั้งหมด 100 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 4 ครั้ง