skip to Main Content
ส.ก. “พุทธิพัชร์” เสนอผลักดันโรงเรียนผู้สูงอายุทั้ง 50 เขต ในกทม. เผยให้ดูเขตยานนาวาเป็นตัวอย่าง

ส.ก. “พุทธิพัชร์” เสนอผลักดันโรงเรียนผู้สูงอายุทั้ง 50 เขต ในกทม. เผยให้ดูเขตยานนาวาเป็นตัวอย่าง

วันนี้ (2 เม.ย.68) มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สอง (ครั้งที่ 1) ประจำปีพุทธศักราช 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานครอาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง โดยญัตติของนายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก. ยานนาวา เรื่อง ขอให้กรุงเทพมหานครสนับสนุนให้มีโรงเรียนผู้สูงอายุของกรุงเทพมหานคร

.

นายพุทธิพัชร์ กล่าวว่า เรื่องของผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญมากในประเทศไทย เพราะเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว แต่กทม.นั้นเน้นให้ความสำคัญกับเด็กมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ากทม.ควรให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีคุณค่า ทั้งยังเป็นแหล่งมรดกความรู้ของคนรุ่นใหม่

.

นอกจากนี้ นายพุทธิพัชร์ ได้หยิบยกตัวอย่างโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้การรับรองเป็นศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุแห่งแรกของกรุงเทพมหานคร ขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้เขตอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้

.

“ท่านสมาชิกอยากจะมาดูงานโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา ยินดีสนับสนุนเต็มที่หรือจะตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุในเขตของท่านเรายินดีผลักดัน” นายพุทธิพัชร์ กล่าว

.

โรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวาเกิดจากจิตอาสาที่รวมตัวกันก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมา โดยมีภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สโมสรโรตารี่ และสำนักงานเขตยานนาวา เป็นต้น

.

โดยหลักสูตรที่ใช้กับโรงเรียนแห่งนี้นั้นได้รับการบูรณาการอย่างถี่ถ้วนโดยเอาหลักสูตรของสำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) มาราว 30% ผนวกกับหลักสูตรของสำนักอนามัย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข และออกมาเป็นหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงอายุ  ระยะเวลา 240 ชั่วโมง โดยจะมีการมอบประกาศนียบัตรให้กับผู้สูงอายุที่จบหลักสูตรด้วย

.

ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวจะโฟกัสไปที่ 6 มิติสำคัญ ได้แก่ 1. สุขภาพและจิตใจ 2. เศรษฐกิจและอาชีพ 3. วัฒนธรรมประเพณี 4. สังคมสิ่งแวดล้อม 5. สวัสดิการ 6. เทคโนโลยีการตรวจคัดกรอง อาทิ 7 บุญมี ซึ่งจะคอยทำหน้าที่ตรวจร่างกายผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด

.

โดยนายพุทธิพัชร์มีข้อเสนอนโยบายต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในการส่งเสริมและสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุ ทั้งหมด 6 ข้อ คือ

.

1.การสนับสนุนด้านงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน เช่นการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งและสนับสนุน ใช้ศูนย์ชุมนุมและพื้นที่สาธารณะของกทม. ปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ

  1. การพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้สูงวัยในเมือง เช่นพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์ชีวิตในเมือง อย่าง การทำธุรกรรมออนไลน์ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย ส่งเสริมการเรียนรู้แบบสหวิทยาการโดยให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเรียนรู้จากเยาวชน
  2. การสนับสนุนบุคลากรและอาสาสมัครเช่น อบรมบุคลากรในโรงเรียนผู้สูงอายุให้มีทักษะด้านจิตวิทยา ส่งเสริมเครือข่ายอาสาสมัครวัยเกษียณและให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสม
  3. การใช้เทคโนโลยีเพื่อขยายโอกาสการเรียนรู้ เช่น พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งเสริมการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตฟรีในโรงเรียนผู้สูงอายุและพื้นที่สาธารณะ
  4. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน เช่น บูรณาการความร่วมมือระหว่างกทม. มหาวิทยาลัยและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัยเชื่อมโยงกับองค์กรพัฒนาเอกชน (ngo)
  5. การพัฒนาศักยภาพผู้ดำเนินงานโรงเรียนผู้สูงอายุ เช่น ส่งเสริมให้ผู้บริหารและผู้ดำเนินงานโรงเรียนผู้สูงอายุเข้ารับการอบรมเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข

.

ทั้งนี้ นายอานุภาพ ธารทอง สมาชิกกรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตสาทร กล่าวว่า โรงเรียนผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร เป็นโครงการที่ตนได้ให้ความสนใจ และกำลังผลักดันอยู่ เนื่องจากปัจจุบันเขตสาทรมีจำนวนผู้สูงอายุ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย ซึ่งหลังจากที่เกษียณอายุแล้วหรือไม่ได้ทำงานแล้วเวลาว่างก็จะมีเยอะขึ้น ตนเองมีโอกาสได้ไปเยี่ยมที่โรงเรียนผู้สูงอายุเขตยานนาวา ซึ่งได้เห็นการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้กับผู้สูงอายุ การจัดอบรม การจัดเรียน ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้เป็นโครงการที่น่าสนใจ ตนอยากจะผลักดันให้เกิดขึ้นในหลาย ๆ เขต รวมถึงในเขตสาทรด้วย ซึ่งตอนนี้ตนได้ดูสถานที่อยู่ในเขตสาทร ถ้าหากทางกรุงเทพมหานครได้ผลักดันโครงการนี้ ทั้งเรื่องของสถานที่และบุคลากร เรื่องของการดูแลหลักสูตร รวมไปถึงค่าตอบแทนต่างๆ ซึ่งตนมองว่าไม่ได้ใช้งบประมาณเยอะ เราสามารถเริ่มจากหลักสูตรเล็กๆ ให้กับประชากรในพื้นที่ก่อนได้ ทางกรุงเทพมหานครจะได้ชื่อว่าดูแลประชากรของกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันแรกไปจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต

.

ด้านนายกิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตทุ่งครุ กล่าวว่า ตนเองก็สนับสนุน ญัตตินี้ ซึ่งเมื่อเดือนที่แล้ววันที่ 1 มีนาคม ครบ 30 วันเขตทุ่งครุก็เพิ่งมีโรงเรียนผู้สูงอายุ สถานที่ตั้งก็คือเทคโนบางมด ซึ่งปัจจุบันนี้ผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น หลายคนมีลูกแต่ลูกไปทำงานในเมืองและทิ้งผู้ปกครองไว้ที่บ้าน เนื่องจากผู้ปกครองบางคนเกษียณแล้ว ซึ่งผู้สูงอายุเหล่านี้เขาไม่มีอะไรทำ แต่นับว่าโชคดีที่ทุ่งครุมีชมรมผู้สูงอายุ 2 แห่งในศูนย์บริการสาธารณสุข และยังมีโรงเรียนฝึกอาชีพ

.

นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า คนเราเมื่อรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์มากที่สุดก็คือตอนที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชนอยากเข้ามาในโรงเรียนแห่งนี้หรืออยากก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมา เพราะไม่อยากปล่อยให้พ่อแม่หรือปู่ย่าอยู่บ้านเฉยๆ โดยทางโรงเรียนก็จะมีกิจกรรมเหมือนที่นายพุทธิพัชร์ ได้กล่าวไว้ข้างต้น

.

นายกิตติพงศ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ตนเองรู้สึกว่าปัญหา คือ ไม่มีงบประมาณ ซึ่งกิจกรรมต้องขับเคลื่อนด้วยงบประมาณถ้าไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ โชคดีที่เทคโนบางมดได้ให้ใช้สถานที่ มีแอร์ มีอินเตอร์เน็ต มีห้องให้ แต่ทุกกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นเรื่องสื่อครุภัณฑ์ หรือบางทีก็ต้องใช้วิทยากรจากภายนอกเราไม่มี

.

ตนอยากจะฝากไปถึงฝ่ายบริหาร จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้างบประมาณรอบนี้จะแบ่งมาให้โรงเรียนผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถมีกิจกรรมและจัดเวิร์คช็อปหรือหาบุคลากรมาช่วยดูแลโดยเฉพาะ ทุ่งครุอาจจะเป็นพื้นที่ที่ต่างจากเขตอื่น เนื่องจากชมรมผู้สูงอายุตั้งอยู่ในศูนย์บริการสาธารณสุข54,59 ซึ่งจะมีการปิดปรับปรุงในอนาคต ทำให้ผู้สูงอายุในชมรมไม่มีที่อยู่ หรือถ้ามีก็อาจจะเป็นสนามกีฬาบางมดหรือไปโรงเรียนฝึกอาชีพแต่ก็แค่ชั่วคราวในระหว่าง 2 ปีในการก่อสร้าง

.

“ผมจำได้ครับว่าเป็นคำพูดของท่านผู้ว่า คนกทม. ก็เป็นหน้าที่กทม.ดูแล ต่อให้เป็นคนต่างจังหวัดมาอยู่กทม. ก็ต้องดูแล แต่ผู้สูงอายุเหล่านี้เป็นคนที่เสียภาษีให้กรุงเทพมหานครมา 40 ปีหรือ 50 ปี แต่วันนี้เขาอยากจะเอ็นจอย ผมก็คาดหวังครับว่าในงบประมาณปีนี้กรุงเทพมหานครจะสามารถจัดสรรไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมมาช่วยโรงเรียนผู้สูงอายุไม่ใช่แค่เขตทุ่งครุนะครับ ทั้งหมด 15 แห่ง หรืออย่างน้อยให้ใกล้เคียงหรือทัดเทียมกับโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา” นายกิตติพงศ์ กล่าว

.

ด้านนายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ญัตตินี้มีความสำคัญและจะนำไปต่อยอด สิ่งที่กรุงเทพมหานครทำอยู่ตอนนี้ คือ การสนับสนุนชมรมผู้สูงอายุ โดยมีทั้งสิ้น 489 ชมรม มีสมาชิกอยู่ 40,000 คน ตนกับผู้ว่าฯ ได้ไปที่โรงเรียนเขตยานนาวาและรับรู้ถึงเจตนาที่จะพยายามผลักดันให้โรงเรียนผู้สูงอายุมีมากขึ้น

.

ทางฝ่ายบริหารคิดว่าการที่มีภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งคือ หัวใจการพัฒนาสังคม ซึ่งการให้ภาครัฐลงไปสร้างโรงเรียนคงไม่สามารถขับเคลื่อนได้เท่าที่ภาคประชาสังคม หรือภาคประชาชนลุกขึ้นมาจัดการและช่วยเหลือกันเอง

.

เบื้องต้น ทางกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ตั้งคณะทำงานเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุกทม.ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยมีผู้ว่าฯ กทม. เป็นที่ปรึกษา โดยมี 5 ประเด็นหลัก ดังนี้

.

1.งบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอยากให้มีการจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดพื้นที่สาธารณะของกทม. เป็นแหล่งเรียนรู้และเรื่องของการเดินทางการขนส่ง พอในมิตินี้ทางกรุงเทพมหานครเราจะสนับสนุน ปัจจุบันทางผู้ว่ากทม. ได้ลดหลักเกณฑ์กองทุน สปสช. ที่ปัจจุบันสามารถรวมกลุ่มเพียง 5 คนก็สามารถที่จะของบประมาณได้แล้ว ซึ่งสอบถามไปยังโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวาก็มีหลายโครงการที่ได้ของบประมาณไปที่กองทุนนี้ที่ทางผอ.เขตเป็นคนอนุมัตินี้ด้วยตัวเอง ก็จะสนับสนุนงบประมาณจากทางกองทุนได้ก่อน

2.การพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรม ทางกรุงเทพมหานครสนับสนุนหลักสูตรโรงเรียนฝึกอาชีพหรือหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ

3.บุคลากรหรืออาสาสมัคร ทางกรุงเทพมหานครก็ได้สนับสนุน วิทยากรซึ่งทรัพยากรของโรงเรียนฝึกอาชีพ ทางสำนักวัฒนธรรมที่มีศูนย์นันทนาการก็จะเอาวิทยากรหรือบุคลากรมาช่วยตรงนี้ด้วย

  1. wifi หรือการใช้เทคโนโลยี ในหลายๆ ที่จะใช้ศูนย์การเรียนรู้ดิจิตอลของทางกระทรวงดีอีที่เคยให้มา ในส่วนของตรงนี้ทางกรุงเทพมหานครจะไปลองดูว่าจะสนับสนุนตรงไหนได้บ้าง ปัจจุบันยังไม่มีตัวอินเตอร์เน็ตให้ ในส่วนของการสนับสนุนด้านพื้นที่คือ การให้ใช้ศูนย์กีฬา หรือศูนย์นันทนาการของเรา ซึ่งตรงนั้นก็จะมีอินเตอร์เน็ตและเรื่องของสถานที่อยู่

5.ความร่วมมือของรัฐและเอกชน อาจจะเป็นการสร้างการมีส่วนร่วม และเอาเอกชนหลายคนที่อยากจะสนับสนุนงานด้านผู้สูงอายุมาช่วยเหลือ

.

นี่คือ 5 ประเด็นหลักที่เราจะช่วยเหลือเบื้องต้น โดยตนจะแบ่งการสนับสนุนเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกนั้นคือ ทุกสิ่งที่กทม.สามารถดำเนินการได้ในปัจจุบัน ส่วนระยะที่สอง อาจใช้แนวทางคล้ายๆ กับศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ที่กำลังร่างข้อบัญญัติ เราจะยกระดับการสนับสนุนให้เป็นข้อกฎหมาย อาจจะต้องมีการหารือกับทางสภาในอนาคต และเรายืนยันว่าจะมุ่งเน้นสนับสนุนโรงเรียนผู้สูงอายุให้ครบทั้ง 50 เขต

ผู้ชมทั้งหมด 406 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 8 ครั้ง

This Post Has 0 Comments
กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็น
Back To Top