skip to Main Content
ส.ก.มีนบุรี จี้ถามกทม. มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5

ส.ก.มีนบุรี จี้ถามกทม. มาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5

(30 ม.ค.68) นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยแรก (ครั้งที่ 4) ประจำปีพุทธศักราช 2568 โดยมี สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารและหัวหน้าส่วนราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ดินแดง
.
👉 นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ส.ก. เขตมีนบุรี ได้เสนอญัตติด้วยวาจา เรื่อง ขอให้กรุงเทพมหานครรายงานความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานคร โดยกล่าวว่า เรื่องฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาระดับชาติไม่ใช่แค่เพียงในกรุงเทพมหานคร แต่ด้วยกรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรเป็นจำนวนมากจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ โดยที่ผ่านมา เรื่อง PM2.5 เป็นเรื่องที่ได้มีการนำมาหารือกันในสภากรุงเทพมหานครหลายครั้ง และกรุงเทพมหานครก็ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2568 ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” จึงขอให้กรุงเทพมหานครรายงานความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาว่าเป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกสภากรุงเทพมหานครรับทราบและได้มีโอกาสซักถามเพิ่มเติม ตลอดจนสามารถนำความคืบหน้าไปสื่อสารกับประชาชนต่อไป
.
📌 ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาหลักในกรุงเทพฯมี 2 เรื่อง คือ เรื่องฝุ่น และเรื่องน้ำท่วม ซึ่งเรื่องฝุ่นถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่เราวางแผนและพยายามดำเนินการมาโดยตลอด โดยก่อนที่เราจะพูดถึงการแก้ไขปัญหาเราจะต้องเข้าใจก่อนว่าที่มาของฝุ่นมาจากไหน ซึ่ง กทม. ได้ดำเนินโครงการนักสืบฝุ่น โดยร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งพบว่าฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ รถยนต์ สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล โดยในสถานการณ์ปกติจะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่ที่ประมาณ 30 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) เมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม แต่ไม่มีการเผา จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 60 มคก./ลบ.ม. และเมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม และมีการเผาด้วย จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 90 มคก./ลบ.ม. ดังนั้น เราจึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งฝุ่นที่มาจากรถยนต์และการเผาชีวมวลซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯไม่ดี โดยในเรื่องรถยนต์นั้น ต้องขอขอบคุณทางสภากรุงเทพมหานครที่เป็นหน่วยงานแรก ๆ ที่ออกข้อบัญญัติในการเปลี่ยนรถเมล์ให้เป็นรถเมล์ EV แม้ว่ากฤษฎีกาแจ้งว่าเราไม่มีอำนาจ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคืออำนาจบางอย่างไม่ได้อยู่ที่เรา แต่เราไม่ได้ยอมแพ้ เราพยายามหามาตรการต่าง ๆ ใช้อำนาจที่เรามีเข้าไปควบคุมให้ได้
.
✨ ในส่วนของเรื่องแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2568 หรือ “แผนลดฝุ่น 365 วัน” กทม. ได้มีการดำเนินการอยู่ตลอดทุกวันทั้งปี โดยในระยะปกติมีการติดตามเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน การกำจัดต้นตอ อาทิ ตรวจควันดำ ตรวจคุณภาพอากาศเชิงรุก รถอัดฟาง Feeder การป้องกันให้กับประชาชน เช่น ธงคุณภาพอากาศ ห้องปลอดฝุ่น ปลูกต้นไม้ล้านต้น การสร้างการมีส่วนร่วม อาทิ แอปพลิเคชัน Traffy Fondue ส่วนในระยะวิกฤตก็ยังคงมีการดำเนินการตามแผนระยะค่าฝุ่นปกติอย่างต่อเนื่อง แต่เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มข้นยิ่งขึ้น มีการจัดตั้ง War Room เพิ่มการแจ้งเตือนประชาชน เพิ่มการแจ้งเตือนผ่าน Line Alert เพิ่มการติดตาม Hot Spot เพิ่มมาตรการกำจัดต้นตอการเกิดฝุ่น ได้แก่ เพิ่มความถี่ในการตรวจควันดำ ประสานวัด/ศาลเจ้างดจุดธูปเทียน ห้ามจอดรถบนถนนสายหลัก/สายรอง หยุดการก่อสร้าง ประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ดำเนินมาตรการ Low Emission Zone (LEZ) มาตรการ WORK FROM HOME ด้านการป้องกันประชาชน ได้มีการเพิ่มการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ เพิ่มการแจกหน้ากากอนามัยเชิงรุกแก่ประชาชนทั่วไป เด็กนักเรียน และกลุ่มเปราะบาง ให้บริการคลินิกมลพิษทางอากาศ ตลอดจนประสานความร่วมมือกับกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เป็นต้น
👉 โดยสามารถสรุปออกมาเป็น 11 มาตรการฝุ่น ได้แก่
📌 1. Low Emission Zone (LEZ) หรือมาตรการเขตมลพิษต่ำ ควบคุมรถเข้าพื้นที่ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ห้ามรถ 6 ล้อขึ้นไปที่ไม่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) เข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ซึ่งหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและมีแนวโน้มฝุ่นเพิ่มมากขึ้นจะประกาศขยายพื้นที่ควบคุมไปยังวงแหวนกาญจนาภิเษกด้วย ทั้งนี้ ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเราใช้ CCTV และเทคโนโลยีเข้ามาอ่านป้ายทะเบียนและตรวจสอบกับ Green List เพื่อดำเนินการแจ้งความต่อไป ซึ่งผู้ประกอบการยินดีร่วมมือเพราะเป็นการสนับสนุนให้คนที่ทำดียังใช้รถได้อยู่ โดยปัจจุบันมีรถลงทะเบียน Green List แล้ว 43,716 คัน
📌 2. โครงการรถคันนี้ลดฝุ่น เป็นการชวนประชาชนมาเป็นแนวร่วมในการลดฝุ่น ซึ่งจากการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง สามารถลดฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 55% เราจึงได้คุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรองเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยเริ่มดำเนินการเมื่อปี 2567 (18 ธ.ค. 66 – 29 ก.พ. 67) มีรถเข้าร่วม 265,130 คัน จากเป้าหมาย 265,130 คัน ส่วนในปี 2568 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 มีรถเข้าร่วม 229,711 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ม.ค. 68) จากเป้าหมาย 500,000 คัน
📌 3. ห้องเรียนปลอดฝุ่น โรงเรียนสังกัด กทม. ที่เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาล (429 แห่ง) โดยปรับปรุงเสร็จแล้ว 744 ห้อง จากห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,966 ห้อง และจะปรับปรุงให้เสร็จทั้งหมดภายในปีนี้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เราไม่ปิดทุกโรงเรียนพร้อมกัน เพราะเราเชื่อว่าโรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยให้กับนักเรียนได้ ในส่วนของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนได้มีการติดตั้งเครื่องกรองอากาศ ปัจจุบันยังติดไม่ครบ จะติดตั้งเพิ่มเติมต่อไป อีกทั้งยังมีโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ร่วมกับ สสส. ติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ 437 เครื่อง และสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาฝุ่นละออง
📌 4. เครือข่าย WORK FROM HOME (WFH) เพื่อลดการจราจรในท้องถนน และประชาชนจะได้ไม่ต้องออกไปเจอสภาพอากาศที่ไม่ดีข้างนอก ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมกับ กทม. เป็นภาคีเครือข่าย WFH รวม 103,781 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ม.ค. 68) โดยตั้งเป้าหมายจะทำให้ถึง 200,000 คน ทั้งนี้ หัวใจคือเขาต้องไว้ใจเรา ซึ่งการที่เอกชนเข้าร่วมโครงการเพราะเรามีมาตรฐานชัดเจนและพยากรณ์ได้แม่นยำ
📌 5. รถอัดฟางให้ยืมฟรี เป็นโมเดลที่เราเชื่อว่าเราไปผลักภาระให้เกษตรกรอย่างเดียวไม่ถูก เพราะปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งการเผาเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำ เราจึงตั้งงบประมาณซื้อรถอัดฟางสนับสนุนให้เกษตรกรยืมใช้ฟรี เชื่อว่าโมเดลนี้น่าจะขยายไปทั่วประเทศได้ ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้ และสามารถนำฟางไปขายได้
📌 6. สนับสนุนทีมฝนหลวงช่วยลดฝุ่น กทม. ซึ่งหัวใจของฝนหลวงไม่ใช่การทำให้ฝนตกลงมาเพื่อล้างฝุ่น แต่เป็นไปตามแนวคิดการเจาะช่องฝาชีที่ครอบอยู่เพื่อให้ฝุ่นระบายขึ้นไปได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการบินในเขตกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตหนาแน่น ปีนี้เป็นปีแรกที่วิทยุการบินฯ อนุญาตให้บินเพราะเรามีการประสานขอความร่วมมือไป ซึ่ง กทม. ได้สนับสนุนทีมฝนหลวงในการรับบริจาคน้ำแข็งแห้งและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาจำนวน 300 ตัน ส่วนประสิทธิภาพจะมากแค่ไหนเราอาจยืนยันไม่ได้ ต้องให้ทางกรมฝนหลวงฯ ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง แต่เราเชื่อว่าต้องใช้วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาและไม่หยุดในการหาทุกวิถีทาง
📌 7. เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสฝุ่น โดยใช้ Traffy Fondue ซึ่งมีเมนูแจ้งการเผา แจ้งควันดำโดยเฉพาะ
📌 8. การพยากรณ์และแจ้งเตือนฝุ่น ซึ่งเราสามารถพยากรณ์ฝุ่นได้แม่นยำ ใช้เซ็นเซอร์ที่ได้มาตรฐาน มีการแจ้งเตือน อาทิ ธงคุณภาพอากาศในโรงเรียน/ชุมชน/สำนักงานเขต เปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร และ Live แจ้งเตือนสถานการณ์วันละ 1 ครั้ง มี Line Alert ที่แจ้งเตือนเมื่อมีวิกฤต เพื่อให้ประชาชนรับรู้ทันท่วงที
📌 9. การตรวจฝุ่นที่ต้นตออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 – 29 ม.ค. 68 อาทิ โรงงาน 236 แห่ง เราตรวจแล้ว 14,638 ครั้ง แพลนท์ปูน 105 แห่ง ตรวจแล้ว 2,451 ครั้ง สั่งปิด 17 แห่ง ตรวจรถโดยสารแล้ว 57,057 คัน ห้ามใช้ 85 คัน ตรวจรถบรรทุก 142,880 คัน ห้ามใช้ 743 คัน เป็นต้น ซึ่งการตรวจรถเมล์/รถ 6 ล้อขึ้น เราไม่มีสิทธิห้ามใช้งาน จึงต้องร่วมกับกรมการขนส่งทางบกหรือตำรวจและอาศัยอำนาจเขาในการห้าม ต้องฝากช่วยกันผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องไปทางสภาใหญ่ให้ช่วยดูด้วย
📌 10. การปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงทางเท้า เป้าหมายระยะทาง 1,000 กม. และการใช้จักรยาน Bike Sharing เพื่อให้คนลดการใช้รถยนต์ลง
📌 11. เพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตลอด ทั้งการทำโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 1,286,000 ต้น พร้อมขยายเป้าเป็น 2 ล้านต้น และจัดทำสวน 15 นาที ซึ่งทำไปแล้วกว่า 170 แห่ง จากเป้าหมาย 500 แห่ง ทั้งนี้ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวอาจเป็นโครงการที่ไม่เห็นผลในวันนี้ แต่อนาคตจะเป็นร่มเงาและคอยดักฝุ่นให้เมืองกรุงฯ ได้
.
👉 นอกจากมาตรการต่าง ๆ ข้างต้น กทม. ยังรวบรวม 11 ข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่
📌 1. มาตรการตรวจควันดำและการตรวจสภาพรถประจำปี ประกอบด้วย การลดค่าความทึบแสงให้เหลือ 10% หรือให้ กทม. กำหนดค่ามาตรฐานเอง และการตรวจสารมลพิษอื่นจากปลายท่อไอเสีย
📌 2. การติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) โดยพิจารณาในกลุ่มรถที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดภาคการจราจร
📌 3. การให้ กทม. เป็นผู้ตรวจการขนส่ง เพื่อให้มีอำนาจเรียกรถให้หยุดเพื่อทำการตรวจสอบ ตลอดจนจับกุมผู้ฝ่าฝืน
📌 4. การจัดการรถเก่า โดยเพิ่มการจัดเก็บภาษีรถเก่าให้สอดคล้องกับการปล่อยมลพิษของรถตามอายุการใช้งาน และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยอาจสนับสนุนการนำรถเครื่องยนต์สันดาปแลกรถยนต์ EV คันแรก
📌 5. ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องกับบริบทเมือง
📌 6. การควบคุมปริมาณรถ โดยสนับสนุนรถพลังงานไฟฟ้า จำกัดการซื้อรถใหม่ที่มาตรฐานต่ำกว่ายูโร 5 หรือทะเบียนเก่าแลกทะเบียนใหม่ จำกัดการเพิ่มขึ้นของรถ และนำรถเก่าออกจากระบบ
📌 7. การย้ายท่าเรือคลองเตย เพื่อลดปริมาณแหล่งกำเนิดมลพิษภาคการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ
📌 8. การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม (ทั้ง 236 แห่ง) โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ รวมทั้งให้ติดตั้ง CEMs (เครื่องตรวจวัดมลพิษปลายปล่อง) ทุกโรงงาน
📌 9. การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) โดยขอให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาข้อบัญญัติกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และเร่งรัดการประกาศใช้ต่อไป
📌 10. การตรวจมลพิษในท่าเรือ (จากปลายท่อ) โดยแต่งตั้งให้ข้าราชการสังกัด กทม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการตามมาตรา 63 มาตรา 65 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยทั่วราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ
📌 11. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อวิเคราะห์สารมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนการกำหนดมาตรการลดและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เมือง
✨ “เรื่องมาตรการฝุ่นต้องเรียนว่ามีหลายมิติ และเชื่อว่าเป็นความพยายามที่ต้องมีหลายหน่วยงานร่วมกัน และต้องช่วยกันผลักดัน กทม. เองก็ต้องยอมรับว่าเรายังทำได้ไม่ดีที่สุด ต้องทำให้ดีกว่านี้ หาก ส.ก. มีข้อเสนอแนะอะไร เรายินดีรับฟังและนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันขอให้ช่วยกันผลักดันในสภาใหญ่กับทางรัฐบาลด้วยเพราะหลายเรื่องไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรา อย่างมากทำได้แค่ไปดู ถ่ายรูป หารือ แต่ไม่มีอำนาจไปจัดการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตยังมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว
.
📌 จากนั้น สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ได้ร่วมแสดงความเห็นต่อญัตตินี้อย่างหลากหลาย ประกอบด้วย
.
📌 นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีการปรับเจ้าของที่ที่มีการเผาอย่างเอาจริงเอาจังจึงยังเป็นปัญหาซ้ำซาก และฝากให้ทุกสำนักงานเขตนำดาวเทียมตรวจจุดความร้อน GISTDA มาใช้
.
📌 นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก. เขตยานนาวา ได้กล่าวขอบคุณผู้ว่าฯ ที่ทำงานอย่างเต็มที่และมีการนำข้อเสนอ มาตรการ นโยบายผลักดันต่าง ๆ โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมในระดับสภากรุงเทพมหานครไปใช้ อาทิ ศาลเจ้าปลอดฝุ่น คลินิกมลพิษทางอากาศ สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้าสาธารณะโดยนำ BMA Feeder มาเชื่อมต่อเส้นทาง เป็นต้น พร้อมขอให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนสถาการณ์ฝุ่นให้เข้มข้นมากขึ้น และขอให้พิจารณาการนำเทคโนโลยีจัดการฝุ่นจากต่างประเทศมาใช้ อาทิ หอคอยยักษ์ดูดฝุ่น
.
📌 นางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ กล่าวว่า เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาใหญ่ จึงเชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะช่วยกันผลักดันการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ในทางที่สามารถทำได้ สำหรับวันนี้จะขอพูดถึงมาตรการเกี่ยวกับรถยนต์ 2 เรื่อง คือ 1. Low Emission Zone (LEZ) โดยเชื่อว่า ผู้ว่าฯ สามารถใช้อำนาจห้ามทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครได้ เหตุใดจึงห้ามเฉพาะพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก 2. Green List มีข้อจำกัดในเรื่องการไม่สามารถบอกได้ทันทีด้วยสายตาว่ารถบรรทุกคันใดไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่ต้องไปเช็กในระบบย้อนหลัง นอกจากนี้ จากรายงานจำนวนรถ 6 ล้อขึ้นไปที่อยู่ใน Green List ซึ่งวิ่งเข้าในพื้นที่ LEZ ในช่วงที่มีการประกาศใช้มาตรการ พบว่ามีตัวเลขผลเฉลี่ยที่คลาดเคลื่อนอยู่ จึงขอให้ตรวจสอบให้ถูกต้องอีกครั้ง ทั้งนี้ ผลลัพธ์จากมาตรการ LEZ ที่สำเร็จคือมีรถบรรทุกเข้าพื้นที่ LEZ ลดลงเฉลี่ยวันละ 404 คัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน มีรถ 6 ล้อขึ้นไป เข้าพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ มากกว่า 100,000 คัน/วัน แต่เข้าพื้นที่กรุงเทพชั้นในเพียงประมาณ 3,000 คัน/วัน เท่านั้น ดังนั้น หากผู้ว่าฯ ใช้อำนาจอย่างเต็มประสิทธิภาพ มีการประกาศใช้มาตรการ LEZ ทั่วกรุงเทพฯ จะตอบโจทย์การแก้ปัญหาฝุ่นได้มากกว่านี้หลายเท่าตัวหรือไม่
.
📌 นายอำนาจ ปานเผือก ส.ก. เขตบางแค กล่าวเสริมว่า ขอให้ กทม. มีการบูรณาการความร่วมมือกับรัฐบาล โดยตั้งคณะกรรมการประสานงานร่วมกันเพื่อทลายข้อจำกัดตามกฎหมาย พร้อมแนะให้ฝ่ายบริหารกำหนดวาระการดำเนินงานเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว รวมถึงขอให้ฝ่ายใช้อำนาจใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องเข้ามาบริหารจัดการในภาวะวิกฤต อาทิ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในการประกาศเขตประสบสาธารณภัย พ.ร.บ. การสาธารณสุข ในการประกาศเขตควบคุมเหตุรำคาญ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในการประกาศเขตควบคุมมลพิษ (เสนอต่อ ครม.) เป็นต้น
.
📌 นายเอกกวิน โชคประสพรวย ส.ก. เขตราชเทวี ได้ขอให้ กทม. ติดตามมาตรการตรวจแพลนท์ปูนของสำนักงานเขตให้เข้มข้นจริงจัง พร้อมขอให้กำกับดูแลการปล่อยมลพิษของ กทม. เองด้วย อาทิ เรื่องการตรวจควันดำจากรถ ให้เริ่มจากรถในสังกัด กทม. โดยให้มีค่าความทึบแสงไม่เกิน 10% ให้ติดตามโรงงานขยะของ กทม. ว่ามีการติดตั้งเครื่องวัดฝุ่นแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจว่า กทม. ไม่ได้เป็นต้นตอฝุ่น และสามารถเป็นตัวอย่างให้ภาคส่วนอื่นตลอดจนประชาชนได้
.
📌 นายฉัตรชัย หมอดี ส.ก. เขตบางนา ได้ขอให้ติดตามผลว่าเครื่องกรองอากาศที่ได้มอบให้ศูนย์พัฒนาเด็กฯ นั้น ได้มีการเปลี่ยนไส้กรองอากาศบ้างหรือไม่ รวมทั้งศูนย์เด็กฯ ที่ไม่ได้สังกัด กทม. จะมีมาตรการป้องกันฝุ่นอย่างไร พร้อมเตือนว่าควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของกลุ่มผู้สูงอายุด้วย ในเรื่องการตัดต้นไม้ ขอให้ติดตามไม่ให้ตัดเหลือแต่ตอ เพราะต้นไม้โตไม่ทันในช่วงฝุ่นมา และในเรื่องรถยนต์ในสังกัด กทม. ฝ่ายบริหารสามารถเปลี่ยนเป็นรถ EV ได้หรือไม่
.
📌 นายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล ส.ก. เขตคลองสาน ขอให้มีการนำรถสเปรย์น้ำมาล้างถนน แม้อาจไม่ได้ผลมาก แต่ทางจิตวิทยานั้นได้ผลดี ขอให้มีแจกหน้ากากอนามัย พร้อมขอบคุณผู้ว่าฯ ที่ได้นำความเห็นจากสภา กทม. เรื่องการติดตั้งไฟแสงสว่างและผ้าใบป้องกันฝุ่นบริเวณที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ไปดำเนินการในเบื้องต้นแล้ว
.
📌 นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร ส.ก. เขตจอมทอง กล่าวว่า ฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐาน มีผลกระทบต่อเรื่องการท่องเที่ยว จึงขอให้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบกวดขันรถยนต์ส่วนบุคคลที่ปล่อยควันดำ ให้สำนักอนามัยและสำนักงานเขตติดตามการปล่อยฝุ่นและมลพิษจากเมรุเผาศพ รวมทั้งให้เข้มงวดกวดขันการเผาขยะมูลฝอยในที่โล่ง นอกจากนี้ได้เสนอให้พิจารณานวัตกรรมเครื่องกรองอากาศยักษ์แบบที่ฮ่องกงใช้ ตลอดจนขอให้ผู้บริหารกรุงเทพมหานครที่เข้าประชุมกับบอร์ดกระจายอำนาจ ร้องขอให้บอร์ดฯ มอบอำนาจให้เราเฉพาะเรื่องในช่วงวิกฤตต่าง ๆ เพื่อมาแก้ไขปัญหาที่เรายังไม่มีอำนาจในบางเรื่อง
.
📌 นายวิรัช คงคาเขตร ส.ก. เขตบางกอกใหญ่ กล่าวว่า ปัญหาของกรุงเทพมหานครคือเรื่องอำนาจ และงบประมาณ โดยเห็นด้วยกับการเข้าไปหารือกับบอร์ดกระจายอำนาจเรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 หรือเรื่องอื่น ๆ เพื่อนำอำนาจหรือทรัพยากรที่บอร์ดมอบหมายให้มาแก้ไข เพิ่มอำนาจ เพิ่มงบประมาณให้กับกรุงเทพมหานครได้ ส่วนในเรื่องการเปลี่ยนรถยนต์ของกรุงเทพมหานครมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้า เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ได้เคยยื่นญัตตินี้เช่นกัน แต่ยังขับเคลื่อนอะไรไม่ได้ด้วยปัญหาอำนาจและงบประมาณ ฉะนั้น หากได้รับการกระจายอำนาจ อาทิ ภาษีบุหรี่ ภาษีโรงแรม ให้กับกรุงเทพมหานคร ก็จะทำให้มีงบประมาณมาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ เชื่อว่ารัฐบาลและทั่วโลกเริ่มเห็นความสำคัญของภัยพิบัติ PM2.5 แล้ว การแก้ไขปัญหาจึงน่าจะเดินไปในแนวทางที่ดีและกรุงเทพมหานครสามารถมีส่วนร่วมได้ อีกเรื่องที่ขอฝากถึงฝ่ายบริหารคือ ขอให้กำชับพนักงานขับรถยนต์ไม่จอดรถติดเครื่องยนต์ไว้ เพื่อช่วยประหยัดพลังงานและลดมลภาวะทางอากาศ
.
✨ ในการนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้กล่าวขอบคุณ ส.ก. ทุกท่าน พร้อมกล่าวด้วยว่า ในเรื่องฝุ่นนี้ ห้ามพูดว่าเราทำดีที่สุดแล้วเพราะจะไม่เกิดการปรับปรุงให้ดีขึ้น ไม่หาทางใหม่ ๆ รวมถึงไม่ฟังความเห็นจากคนอื่น ฉะนั้น เรายืนยันว่าจะทำให้ดีกว่านี้ จะพยายามทำให้ดีขึ้น ส่วนเรื่องเครื่องกรองฝุ่นขนาดยักษ์ ตอนนี้เรามีความร่วมมือกับกรุงปักกิ่งอยู่ เดี๋ยวจะนำเรื่องนี้ไปถามเพราะเขาน่าจะมีข้อมูลที่ช่วยสนับสนุน เรื่อง LEZ ถือเป็นการเริ่มต้น ซึ่งในหลายประเทศก็จะเน้นที่ชั้นในก่อน เพราะเป็นจุดที่มีการจราจรติดขัด อย่างไรก็ตาม เราก็พร้อมที่จะขยายเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ส่วนตัวเลขที่คลาดเคลื่อนต้องขอบคุณสำหรับข้อแนะนำ จะนำไปปรับปรุงให้มีความแม่นยำมากขึ้น ด้านข้อแนะนำต่าง ๆ อาทิ การตัดต้นไม้ แพลนท์ปูน โรงกำจัดขยะ ฯลฯ จะรับไปปรับปรุงให้ดีขึ้น เรื่องการล้างถนน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการทุกวัน ซึ่งจะเน้นย้ำให้ดำเนินการในทุกพื้นที่และนำภารกิจมาประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เรื่องการแจกหน้ากากอนามัย สำนักอนามัยได้มอบให้สำนักงานเขตไปแล้ว 1,240,000 ชิ้น สำหรับนำไปแจกแก่กลุ่มเปราะบาง รวมถึงได้ดระจายไปยังศูนย์บริการสาธารณสุข 700,000 ชิ้น สำหรับผู้ใหญ่ 200,000 ชิ้น และเด็กในโรงเรียน 500,000 ชิ้น เรื่องศูนย์พัฒนาเด็กฯ ที่อยู่นอกการดูแลของ กทม. จะรับไปหาแนวทางดูแลและปรับปรุงให้ดีขึ้น ในส่วนของการเผาขยะได้มีการตรวจสอบให้เข้มข้นมากขึ้น ทั้งนี้ โดยภาพรวมข้อเสนอแนะต่าง ๆ จะรับมาและพยายามจะทำให้ดีขึ้น เข้มข้นขึ้น เพราะหน้าที่เราคือการดูแลประชาชนทุกคน
.
ในการนี้ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครได้มีมติเห็นชอบและให้ฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานครพิจารณาต่อไป
—————————

ผู้ชมทั้งหมด 20 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 20 ครั้ง

This Post Has 0 Comments
กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็น
Back To Top