skip to Main Content

พุทธิพัชร์ ยื่นญัตติด่วน ชี้!!! สัญญาติดตั้งโซล่าเซลล์ของ กทม. กับการไฟฟ้า ผูกพัน 25 ปี ไม่คุ้มเท่าสร้างเอง

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สี่ (ครั้งที่ 1) ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยมีนายวิพุธ ศรีวะอุไร ประธานสภากรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง)

.

นายพุทธิพัชร์ ธันยาธรรมนนท์ ส.ก.เขตยานนาวา ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้กรุงเทพมหานครพิจารณาทบทวนสัญญาให้บริการติดตั้งและบำรุงรักษาอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในระบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือก โดยให้เหตุผลว่า MOU ของกรุงเทพมหานครกับ กฟน. ภายหลังที่ได้มีการลงนาม กฟน. ได้เข้าสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ ภายใต้สังกัดของ กทม. อาทิ สำนักงานเขต ศูนย์กีฬา โรงเรียน รวมประมาณการติดตั้งอยู่ที่ 33,000 กิโลวัตต์ โดย กฟน. แจ้งว่าหากเข้าโครงการนี้จะลดค่าบริการต่อหน่วย 20% จากค่าไฟฟ้าฐานตามช่วงเวลาการใช้ TOU โดยมีระยะเวลาสัญญา 25 ปี คาดการณ์ผลประหยัดตลอด 25 ปี กว่า 36 ล้านบาท

.

ขณะเดียวกันหาก กทม. ดำเนินการผลิตและติดตั้ง 1 กิโลวัตต์ต่อปีจะได้ค่าผลตอบแทนประมาณ 1,400 โดยต้นทุนการติดตั้งอยู่ที่ 35,000 บาท หรือ 1 เมกะวัตประมาณ 35 ล้านบาท โดยหากคำนวณต้นทุนในสัญญา 33,000 กิโลวัต จะได้ต้นทุนการติดตั้งทั่ว กทม. ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งอาจมองว่าสูง แต่เทียบกับผลผลิตกระแสไฟฟ้ารวมต่อปีประมาณ 45,634,400 บาท โดยมูลค่าที่ประหยัดได้จากค่าไฟฟ้าต่อปีกว่า 94 ล้าน และค่าบำรุงรักษา ต่อปีประมาณ 11 ล้าน ทำให้เห็นว่า ต้นทุนจริง ๆ ประมาณ 935 ล้าน สามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากนั้น กทม. จะได้ใช้ไฟฟ้าฟรีไม่จำเป็นต้องผูกสัญญา 25 ปี ถ้าการไฟฟ้านครหลวงลงทุนแล้ว กทม.ได้ส่วนลด 20% ข้อดีคือ กทม. ไม่ต้องแบกรับต้นทุนความเสี่ยงการติดตั้ง การบำรุงรักษา ส่วนข้อด้อยที่เห็นได้ชัดคือ ผลประโยชน์ระยะยาว มูลค่าที่สะสม การถือครองทรัพย์สินและคาร์บอนเครดิต โดยในสัญญาได้กำหนดให้ กทม. ต้องติดมิเตอร์ TOU ดังนั้นส่วนลดค่าบริการ 20% ของการไฟฟ้า เมื่อหักมิเตอร์ TOU แล้วจะเหลือส่วนลดค่าบริการที่แท้จริงเท่ากับ 4%

.

ทั้งนี้สมาชิกสภากรุงเทพมหานครร่วมอภิปรายเห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว ประกอบด้วย นางสาวเมธาวี ธารดำรง ส.ก.เขตปทุมวัน นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย เห็นด้วยที่จะให้กรุงเทพมหานครติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซล่าเซลล์ ซึ่งอาคารของกรุงเทพมหานครมีพื้นที่บนหลังคา ดาดฟ้าอาคาร สามารถติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ได้ กทม.สามารถประหยัดงบประมาณได้เยอะมาก เพราะหากคำนวณแล้วการติดตั้งเองจะคุ้มค่ากว่าให้การไฟฟ้าติดตั้ง และกทม. จ่ายค่าไฟที่ได้ส่วนลดเพียง 20% จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งในปัจจุบันแผงโซล่าเซลล์มีการรับประกันนานถึง 25 ปี ซึ่งโรงเรียนในสังกัด กทม. ควรมีการติดตั้งโซล่าเซลล์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้าในเวลากลางวัน แม้ไม่มีแดดก็สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้จากพลังงานความร้อนได้เช่นกัน

.

ด้านนายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท อภิปรายถึงสัญญาของกรุงเทพมหานครและการไฟฟ้าว่ามีบางส่วนที่ระบุไว้ว่าห้ามเปิดเผย ซึ่งขัดกับนโยบายของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ว่าต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งตนมองว่าการทำแบบนี้คล้ายกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ไม่ใช้งบประมาณของกทม. ไม่ผ่านสภากรุงเทพมหานครพิจารณา แล้วสุดท้ายเกิดเป็นคดีความต้องมาใช้งบประมาณแก้ไขปัญหา จึงฝากฝ่ายบริหารพิจารณาการแก้ไขสัญญาให้เปิดเผยประชาชนสามารถตรวจสอบได้

.

นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวชี้แจงว่า โซล่าเซลล์เป็นโครงการที่ดีที่ผ่ายบริหารผลักดันมาโดยตลอด ในส่วนของโซล่าเซลล์ที่มีการทำสัญญากับการไฟฟ้านั้นใช้เป็นระบบแบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ ไม่ได้ใช้ความร้อนในการผลิต ส่วนในสัญญาเริ่มแรกเป็นการติดตั้งโซลาเซลล์เพื่อใช้กับโรงควบคุมคุณภาพน้ำ 8 แห่ง โดยโครงการนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณของ กทม. ประมาณการผลิตกระแสไฟฟ้า 1.67 เมกะวัต โดยค่าไฟมิเตอร์ TOU มีทั้งค่าไฟช่วง On Peak และ Off Peak ซึ่งค่าไฟช่วง On Peak ปัจจุบันการไฟฟ้าเก็บอยู่ที่ 4.1839 บาท และช่วง Off Peak 2.6037 บาท ซึ่งค่าบริการในอัตราส่วนลด 20% ค่าไฟช่วง On Peak คงเหลือ 3.3471 และช่วง Off Peak คงเหลือ 2.0830 คงที่ตลอดสัญญา 25 ปี หากมีการขึ้นค่าไฟ กทม. ก็จะเสียค่าไฟเท่าเดิมตามสัญญา กรณีของโรงควบคุมน้ำจะเป็นการใช้ไฟฟ้าที่มากตลอดเวลา การเปลี่ยนมิเตอร์เป็น TOU คู่กับโซล่าเซลล์จึงประหยัดกว่า ส่วนในกรณีโรงเรียนที่มีการหยุดเสาร์-อาทิตย์ ฝ่ายบริหารจะนำกับพิจารณาดำเนินการต่อไป และขอยืนยันว่าสัญญาที่กรุงเทพมหานครทำกับการไฟฟ้านั้นกรุงเทพมหานครได้รับความคุ้มค่าแน่นอน

.

นายวิศณุ ชี้แจงต่อว่า ในกรณีสัญญาที่บางส่วนเปิดเผยไม่ได้นั้นเป็นคำสั่งของอัยการสูงสุด ซึ่งคู่สัญญาอาจไม่ต้องการเปิดเผยสิทธิประโยชน์ที่มอบให้กรุงเทพมหานครเพื่อจะได้ไม่โดนเอาเปรียบกับคู่ค้าอื่น ๆ ในอนาคต หากสภากรุงเทพมหานครต้องการให้สัญญาเปิดเผยจะนำกลับไปปรึกษาหารือกับคู่สัญญาในการหาแนวทางต่อไป

.

นายนภาพล กล่าวเสริมภายหลังว่า กรุงเทพมหานครและการไฟฟ้าเป็นหน่วยงานของรัฐเหมือนกัน ควรทำอะไรเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบว่าเงินภาษีที่จ่ายไปนั้นนำไปทำอะไรบ้างเหมาะสมและคุ้มค่าหรือไม่ หากการไฟฟ้าไม่ยินยอมให้เปิดเผยแนะนำให้ กทม.ยกเลิกสัญญาและดำเนินการสร้างเอง

.

จากนั้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับญัตติดังกล่าว และส่งให้ฝ่ายบริหารพิจารณาต่อไป

////////////////////////////

 

ผู้ชมทั้งหมด 46 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 46 ครั้ง

This Post Has 0 Comments
กรุณาเข้าสู่ระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็น
Back To Top