
“สุทธิชัย” ชงญัตติให้ กทม. สำรวจตึก หวั่นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้สุมกำลังหลอกเหยื่อ หลังเพื่อน ส.ก. หลายคนโดนกันถ้วนหน้า “ชัชชาติ” เผยเจอกับตัวเอง สั่งฝ่ายรายได้-เทศกิจ เฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิด หากพบต้องสงสัยรายงานด่วน พร้อมเร่งให้ความรู้ผ่านชุมชน พร้อมรับเบาะแสผ่าน Traffy Fondue
วันที่ 2 กรกฏาคม 2568 การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร เสนอญัตติขอให้กรุงเทพมหานครสำรวจอาคารที่สุ่มเสี่ยงเป็นแหล่งก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
นายสุทธิชัย กล่าวว่า ขอให้มีการสำรวจอาคารที่สุ่มเสี่ยงเป็นแหล่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพราะปัจจุบันปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก จะเห็นว่ากลุ่มอาชีพนี้มักเช่าอาคารหรือสำนักงานในกรุงเทพเพื่อใช้เป็นแหล่งล่อเหยื่อ หรืออาจเป็นฐานปลอมแปลง โดยมีประชาชนจำนวนมากถูกหลอกลวงให้สูญเสียทรัพย์สิน หรือข้อมูลส่วนตัว
นายสุทธิชัย กล่าวต่อไปว่า ปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ เริ่มระบาดหนักตั้งแต่ช่วงปี 2565 ถึง 2567 คนไทยตกเป็นเหยื่อมากกว่า 575,500 คดี สร้างความเสียหายมากกว่า 65,715 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 80 ล้านบาท คนกรุงเทพกว่า 80% เคยได้รับสายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ 50% ได้รับความเสียหาย จากสถิติและคดีทั่วประเทศพบว่าลดลง แต่ใน กทม. ยังคงเป็นฐานการเงินและเครือข่าย โดยในปี 2567 ถึงต้นปี 2568 มีผู้เสียหายมากกว่าหมื่นราย เดือนมิถุนายน 2568 มีข่าวชาวออสเตรเลีย 5 คนเช่าบ้านหรูย่านพุทธมณฑลทำธุรกิจหลอกลวงนักลงทุนผ่านการโทรจากกรุงเทพฯ
นายสุทธิชัย กล่าวว่า ขอชื่นชมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใย และดำเนินมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติทั้งในประเทศและนอกประเทศ จนทำให้ช่วงนี้เริ่มลดลงมาก และยังสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปราบปรามอย่างจริงจัง และออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่2) พ.ศ. 2568 มีข้อกำหนดต่างๆ รวมถึงตัดอินเตอร์เน็ตประเทศเพื่อนบ้าน เอาจริงเอาจังตามชายแดน ทำให้ปัญหาลดลงไปมาก
ดังนั้นเราต้องทำอย่างไรเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน และให้ชาวโลกชื่นชมว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ปลอดภัยต่อทุกประเทศเพื่อนบ้านและนานาชาติ โดยเสนอให้ใช้บุคคลากร โดยฝ่ายจัดเก็บรายได้ใน 50 เขต เก็บภาษีโรงเรือนที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และฝ่ายเทศกิจ คอยสังเกตว่าอาคารต่างๆ มีความสุ่มเสี่ยงน่าจะเป็นแก๊งมิจฉาชีพมิจฉาชีพหรือไม่ โดยใช้สายตาและสามัญสำนึก เช่น การใช้ไฟจำนวนมากขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าในอาคารสูงส่วนใหญ่จะมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาศัยอยู่ เมื่อตรวจพบเห็นข้อสงสัยก็รายงานถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับ อีกทั้งประสานงานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กสทช. หน่วยงานข่าวกรอง และเปิดช่องทางรับแจ้งเบาะแสจากประชาชน ส่งเสริมการให้ความรู้เกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์
“เราต้องมาช่วยกัน เพราะใครไม่เจอก็ไม่รู้ หลายท่านที่เจอจนพูดไม่ออก และคิดไม่ถึงว่าจะโดนแบบไม่รู้ตัว มีฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้อยู่หลายคน จึงจำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้มากขึ้น และผู้บริหารต้องไม่นิ่งดูดาย เราต้องตื่นตัวช่วยกันดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนไม่ให้คอลเซ็นเตอร์หลอกเราได้ง่ายๆ” นายสุทธิชัย กล่าว
ต่อมา นายสุทธิชัย เปิดคลิปข่าวนาทีช่วยสาวเหยื่อคอลเซ็นเตอร์โดดแม่น้ำฆ่าตัวตาย และคลิปคุณตาฆ่าตัวตายหลังถูกหลอกให้ลงทุนจนหมดตัว ประกอบการอภิปรายด้วย
นายกิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ ส.ก. เขตทุ่งครุ กล่าวว่าตนมีโอกาสพูดคุยกับคนที่เคยเป็นเหยื่อ และเคยทำงานกับคนเหล่านี้แต่ได้กลับใจ โดยบอกว่ากรุงเทพฯ ต่อให้เป็นแหล่งของคอลเซ็นเตอร์ก็จริง แต่เป้าหมายจะไม่ใช่เพื่อหลอกคนไทย เพราะหากจะหลอกคนไทยจะไปตั้งที่ต่างประเทศ แต่เขาจะมาตั้งที่ประเทศไทยเพื่อหลอกคนต่างชาติ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ดีเท่าฝ่ายเทศกิจ
นายกิตติพงศ์ เสนอว่า ในงบประมาณปี 2568 และ 2569 มีงบรณรงค์ตลาดสะอาด ถูกสุขอนามัย ถ้ามีการรณรงค์กับประธานชุมชนทุกเดือนให้ความรู้ ทำโบรชัวร์แจกให้กับชาวชุมชน โดยเฉพาะคนแก่ที่ส่วนใหญ่เสพโซเชียล เพราะอยู่บ้านคนเดียวลูกหลานไม่ได้อยู่ด้วย แต่ถ้าเป็นไปได้ให้ประธานชุมชนช่วยประชาสัมพันธ์หรือทำอย่างไรให้คนกรุงเทพฯ หรือต่อให้เป็นคนต่างจังหวัดที่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็เป็นหน้าที่ของ กทม. ที่ต้องดูแลพวกเขา
นายวิพุธ ศรีวะอุไร ส.ก. เขตบางรัก กล่าวสนับสนุนเนื่องจากปัจจุบันทุกคนใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้สูงอายุ และเทคโนโลยีมีการพัฒนารูปแบบ Ai สามารถเข้าถึงง่าย จึงแยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ตนคิดว่า กทม. มีทรัพยากรที่ดีไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัครทางเทคโนโลยี ควรเข้าไปคลุกคลีกับชุมชนและให้ความรู้ในการป้องกันภัยเพื่อนำไปขยายต่อเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าตนก็เป็นหนึ่งที่เคยมีโทรศัพท์เข้ามาอ้างชื่อรองผู้ว่าจักกพันธุ์ ทั้งที่เจ้าตัวนั่งอยู่ข้างๆ เชื่อว่าทุกคนก็มีโอกาสเจอได้เช่นกัน จึงถือเป็นญัตติที่สำคัญและ กทม. จะนำไปดำเนินการ โดยจะเป็นหนึ่งเรื่องที่จะประสานขอความร่วมมือกับรัฐบาลเพราะเรามีอำนาจจำกัด
ส่วนเรื่องการสังเกตจะมีการสั่งการให้ฝ่ายรายได้ ฝ่ายเทศกิจ และพนักงานกวาดถนนต้องสังเกตว่าพื้นที่ไหนมีคนเข้าออกพลุกพล่านผิดปกติในเวลาที่อาจจะไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ต้องให้มีการสังเกตและรายงานมากขึ้น
อีกทั้งให้ข้อมูลความรู้กับประชาชนโดยเฉพาะในโรงเรียน แม้จะเราอาจกำจัดเชื้อโรคหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่หมด แต่เราสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับคนของเราได้ โดยให้ความรู้ทางโรงเรียน และกระจายไปถึงครอบครัว ดูแลชุมชนต่างๆอาจจะใช้อาสาต่างๆช่วยดูแล และใช้ Traffy fondue รับแจ้งเหตุ ซึ่งขณะนี้ประชาชนเริ่มใช้อย่างคล่องมือ โดยจะครบ 1 ล้านคนในเดือนนี้ ถือเป็นประวัติที่น่าภาคภูมิใจของกทม. ที่เราสามารถมีเครื่องมือที่ให้ประชาชนแจ้งปัญหาได้ หากประชาชนประสบปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ หรือมีเบอร์ต่างๆ ก็ให้แจ้งผ่านมาเพื่อนำข้อมูลไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบแหล่งต่างๆ ตนจะรับข้อคิดเห็นไปและดำเนินการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมและจะมาเรียนทางสภากทม. ต่อไป
________
ผู้ชมทั้งหมด 204 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 4 ครั้ง