
กทม. เตรียมดัน “กีฬาทางเลือก” เข้าสู่หลักสูตรโรงเรียน “ภัทราภรณ์” ชูเป็นแนวทางสร้างโอกาสเด็กชุมชน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมเดินหน้าพัฒนา “ลานกีฬาเอ็กซ์ตรีม” เพิ่มทั่วทุกเขต
วันนี้ 2 กรกฎาคม 2568 การประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2568 ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา นางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ เสนอญัตติเรื่อง ขอให้กรุงเทพมหานครพิจารณากีฬาทางเลือกเป็นหลักสูตรวิชาเลือกในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
น.ส.ภัทราภรณ์ กล่าวว่า นโยบายเรียนดีของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่เคยพูดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ถึงเรื่องหลักสูตรการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกโรงเรียนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน ทำให้เด็กอยากเรียนใกล้บ้านไม่ต้องแข่งกันไปเรียนที่โรงเรียนดัง มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ผู้ปกครองมากขึ้น ซึ่งจะลดปัญหาการจราจรไปได้อีกด้วย รวมถึงให้ผู้ปกครองร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งตนเห็นด้วยมาก ๆ แต่อาจจะมีความแตกต่างกันในเรื่องรายละเอียด
นางสาวภัทราภรณ์ มองว่า การที่โรงเรียนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเหมือนกัน บางโรงเรียนอาจจะเด่นเรื่องภาษา บางโรงเรียนอาจจะเด่นเรื่องวิชาการ และบางโรงเรียนอาจจะเด่นเรื่องกีฬา ซึ่งทุกโรงเรียนก็สามารถผลักดันให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคตได้ตามความถนัดและความสนใจของเด็กกลุ่มนั้น ซึ่งหากเรามองไปที่โรงเรียนเอกชนหรือโรงเรียนในต่างประเทศก็จะพบว่าจุดแข็งของโรงเรียนต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจน เด็กสามารถวางแผนอนาคตของตัวเองได้ด้วย โดยหากพูดถึงโรงเรียนในสังกัดของกรุงเทพมหานคร เด็กจำนวน 253,000 คน จาก 437 โรงเรียน ส่วนใหญ่เป็นเด็กจากชุมชนมีข้อจำกัดทางด้านเศรษฐกิจสูงจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยและจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษาระดับมัธยม ทำให้เด็กเหล่านี้โตไปมีอาชีพการงานและอนาคตที่ไม่ดี สำหรับเขตบางซื่อ ตนได้เริ่มต้นโครงการบางซื่อสเก็ตบอร์ดที่ดำเนินการไปแล้ว โดยผลักดันร่วมกับกลุ่มผู้ปกครองห่วงใยลูกหลานบางซื่อ ผ่านงบประมาณจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ระดับเขต ซึ่งโครงการนี้เราใช้งบประมาณทั้งสิ้นเพียง 254,725 บาท สำหรับการอบรมนักเรียนระดับชั้น ป.1 – ป.4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่เขตบางซื่อ 7 โรงเรียน โรงเรียนละ 30 คน จำนวนโรงเรียนละ 3 ครั้ง แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์ของงบ สปสช. ทำให้เราจัดซื้อสเก็ตบอร์ดและอุปกรณ์เซฟตี้ได้ไม่เพียงพอ ซึ่งตนได้รับบริจาคมาบางส่วน แต่เด็กยังต้องใช้หมุนเวียนกันและใช้อุปกรณ์ที่ทางวิทยากรเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ตนอยากนำเสนอในวันนี้ให้มีการบรรจุโครงการเหล่านี้เข้าสู่งบประมาณประจำปีของกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ได้มีการขอความยินยอมจากทางผู้ปกครองเป็นรูปแบบเอกสารแล้วและเราเปิดรับเฉพาะเด็กที่ต้องการเรียนเข้ามา พอมีการเรียนการสอนได้ถึงสองครั้ง เด็กหลายคนค่อนข้างชื่นชอบ และขอให้ผู้ปกครองซื้อสเก็ตบอร์ดเป็นของตัวเองมาเรียน ทางกรุงเทพมหานครก็มีลานสเก็ตบอร์ดที่สวนเบญจกิติ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นในทิศทางที่ดี แต่ความเป็นจริงมีข้อจำกัดในการเข้าถึงอยู่มากโดยเฉพาะเด็ก ๆ ในชุมชนทั่วกรุงเทพมหานคร
จากที่ได้ลองนำร่องโครงการนี้ พบว่าเราสามารถสร้างทางเดินที่เป็นทางเลือกใหม่ด้านการศึกษาให้กับเด็กโดยการสร้าง ECOSYSTEM หรือระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตนี้โดยหลักๆ มีทั้งหมด 5 ด้าน
1. Community ชุมชนที่สนับสนุนสิ่งเดียวกัน โดยมีกลุ่มวัยรุ่นที่เล่นสเก็ตบอร์ดอยู่แล้ว ก็จะมีการสร้างแลมป์ หรือทางลาด สำหรับการเล่นไว้อยู่แล้ว
2. Facility สิ่งอำนวยความสะดวก โดยจะเริ่มโครงการปรับปรุงสวนสาธารณะ พระราม 7 ให้มีลานสเก็ตบอร์ดแบบมืออาชีพต่อไป
3. Mentors ครูผู้ฝึกสอน เรามีทีมครูผู้ฝึกสอนที่มาทดลองนำร่องแล้วกับโครงการที่เราผลักดันไปกับ สปสช. ซึ่งเป็นทีมที่ฝึกสอนเด็กไปถึงกีฬาโอลิมปิกและระดับโลกมาแล้ว
4. Opportunity โอกาสในการเติบโต
5. Possibility ความเป็นไปได้จากภาครัฐ
โดยมีข้อเสนอดังนี้
1. ขอให้กรุงเทพมหานครบรรจุกีฬาดนตรี ความถนัดทางภาษาหรือด้านวิชาการ ที่เข้ากับยุคสมัย เช่น การเรียนการสอนสเก็ตบอร์ดให้เข้าสู่งบประมาณประจำปีของกรุงเทพมหานคร ในรูปแบบวิชาเลือกหรือมีวิทยากรพิเศษในวิชาพละศึกษาสำหรับโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
2. ขอให้กรุงเทพมหานครพิจารณาปรับปรุงพัฒนาและสร้าง Ecosystem รองรับความสนใจของเด็กรุ่นใหม่ และเหมาะสมกับบริบทในพื้นที่เพื่อส่งเสริมการเติบโตต่อยอดไปเป็นอาชีพในอนาคต ตนหวังว่าฝ่ายบริหารจะเห็นความจำเป็นและเห็นความเป็นไปได้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
ด้านนายกิตติพงศ์ รวยฟูพันธ์ ส.ก. เขตทุ่งครุ ร่วมอภิปรายว่า กีฬาเอ็กซ์ตรีมเป็นที่นิยมมานานแล้ว เมื่อสามปีที่แล้วตนจำได้ว่ามีน้องจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประสานตนมาว่ามีผู้ประสงค์จะบริจาคเพื่อผลักดันให้เกิดกีฬาเอ็กซ์ตรีม แต่ไม่รู้ว่าจะติดต่อใคร ตนจึงประสานไปที่สนามกีฬาบางมดและผลักดันด้วยงบประมาณที่มี จำนวน 300,000 บาท ได้ทั้งอุปกรณ์และสถานที่ ซึ่งในช่วงแรกก็มีวัยรุ่นมาใช้บริการกันมากพอสมควร แต่เมื่อเวลาผ่านมานานก็มีสภาพทรุดโทรม เนื่องจากไม่ใช่งบประมาณของกรุงเทพมหานคร และด้วยพื้นที่ที่ไม่ได้ใหญ่มาก บางคนก็อยากได้พื้นที่ที่ใหญ่กว่านี้ เวลาเล่นจะได้มันส์สะใจกว่านี้ แต่ติดตรงที่พื้นที่ไม่พอ สัปดาห์ที่แล้วตนได้มีการพูดคุยกับฝ่ายบริหารบางท่านว่าบริเวณพื้นที่ของสนามกีฬาบางมดมีที่ว่างอยู่ ในอนาคตก็อาจจะมีการผลักดันเป็นลานกีฬาอื่น ๆ อยากจะขอฝากในพื้นที่เขตทุ่งครุรวมถึงพื้นที่อื่นในกรุงเทพมหานคร ให้มีพื้นที่สำหรับกีฬาเอ็กซ์ตรีมนี้รวมถึงบุคลากรเซฟตี้และหน่วยฉุกเฉิน
ด้านนายพีรพล กนกวลัย ส.ก. เขตพญาไท ร่วมอภิปรายว่า เมื่อปีงบประมาณปี 2566 ตนเป็นคณะกรรมการวิสามัญงบประมาณของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว มีงบประมาณหนึ่งที่ตนได้พิจารณาว่า การจะทำสนามสเก็ตบอร์ดที่จตุจักร มูลค่า 30,000,000 บาท ในแบบนั้นกำหนดเพียงพื้นซีเมนต์หนา 20 เซนติเมตร และหลังคา ตนมองว่าตรงนี้ไม่สอดคล้องกับงบประมาณที่ควรเอาไปใช้เพราะต้องมีรูปแบบตามที่การกีฬาแห่งประเทศไทยกำหนด สุดท้ายงบประมาณตรงนี้ตกไปเนื่องจากไม่ได้ขอมาในชั้นพิจารณางบประมาณเป็นแบบที่แก้ไขเพิ่มเติม ตนอยากฝากให้ฝ่ายบริหารเห็นถึงความสำคัญของกีฬาเอ็กซ์ตรีม เพื่อให้นักกีฬาสเก็ตบอร์ดสู่โอลิมปิก กรุงเทพมหานครควรจะมีลานกีฬาที่หลากหลาย เพราะเด็กมีความชอบด้านกีฬาที่ต่างกัน ตนมองว่าต้องมีทางออกให้เด็กเหล่านี้ในการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ
ด้านนายวิรัช คงคาเขตร ส.ก. เขตบางกอกใหญ่ ร่วมอภิปรายว่า สนามเอ็กซ์ตรีมในพื้นที่ ตามที่ น.ส.ภัทราภรณ์ ยื่นญัตติไว้นั้น ตนได้พยายามผลักดันกับผู้อำนวยการเขตเมื่อสองปีที่แล้ว ให้เกิดสนามเอ็กซ์ตรีมขึ้น ซึ่งในกระบวนการเราได้มีการเช่าที่ดิน ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำนวนหนึ่งไร่เศษ และมีขั้นตอนในการของบประมาณ ปรากฏว่าสำนักงบประมาณท้วงมาว่า สำนักงานเขตถ้าจะรับผิดชอบลานเอ็กซ์ตรีมนั้นลำพัง บุคลากรเจ้าหน้าที่อาสาสมัครลานกีฬาอาจจะไม่มีทักษะมากพอ เพราะฉะนั้น เห็นควรว่าควรเปลี่ยนภารกิจ เมื่อเปลี่ยนภารกิจมาเป็นของสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ตนก็เห็นชอบด้วย เพราะประสานไปที่สำนักวัฒนธรรมการ กีฬา และการท่องเที่ยว มีบุคลากรในด้านนี้โดยเฉพาะ ก็ดำเนินการตามขั้นตอนและพยายามผลักดันจะให้เกิดขึ้นในปี 2569 ปรากฏว่าไม่มี ซึ่งตนได้มีการประสานงานอยู่ตลอดเวลาและสอบถามว่าได้ผลักดันงบประมาณโครงการสนามเอ็กซ์ตรีมในพื้นที่บางกอกใหญ่หรือไม่ก็ได้รับคำตอบว่าได้จัดทำงบประมาณออกแบบเรียบร้อยแล้ว แต่พอไปดูในเล่มงบประมาณปรากฎว่าไม่มี จนตนหาสาเหตุและพบว่าถูกสำนักงบประมาณตัด ตนก็ยังสงสัยว่าตัดเพราะอะไร ก็ได้ทราบว่าตัดเพราะเครื่องสูบน้ำ ราคา 4,000 บาทเนื่องจากราคากลางใบเสนอราคาเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งตนก็สงสัยและมองเป็นเรื่องขี้ผงกับเงินแค่ 4,000 บาท กับงบประมาณอีก 11 ล้านบาท และสิ่งที่เยาวชนจะได้นั้นมันเกิดอะไรขึ้น ตนจึงขอนำประเด็นนี้ถึงฝ่ายบริหารว่า เราเช่าพื้นที่เขามาสามปีแล้ว จนปัจจุบันหญ้าขึ้นรก เกิดว่าถ้าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเข้าไปตรวจสอบโดยเฉพาะสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเกิดประเด็นหรือไม่ว่ากรุงเทพมหานครเช่าแล้วไม่ดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นได้ เราควรมองถึงภาพที่เยาวชนจะได้รับประโยชน์มากกว่า ถ้ามีโอกาสในงบประมาณปี 2569 ขึ้นมาพิจารณาก็อยากขอฝากสนามเอ็กซ์ตรีมในพื้นที่เขตบางกอกใหญ่ด้วย
นายณรงค์ศักดิ์ ม่วงศิริ ส.ก. เขตบางบอน ร่วมอภิปรายว่า ตนเองขอสนับสนุนญัตติของนางสาวภัรทราภรณ์อย่างเต็มที่
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และเป็นเรื่องที่จะตอบสนองโจทย์ความต้องการของเยาวชน ตนว่ามิติไม่ใช่เรื่องของการศึกษาแต่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจด้วยอย่างในหลายพื้นที่สนามกีฬาเอ็กซ์ตรีมสปอร์ตของต่างประเทศก็เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เราเองก็มีการทำสนามกีฬาที่สวนเบญจกิติเป็นสนามเอ็กซ์ตรีมระดับโลกที่มีการเปิดไปแล้ว แต่จะมีข้อจำกัดอยู่บ้างในแง่ของการดูแลซึ่งกีฬาเอ็กซ์ตรีมมีความเสี่ยงมากกว่ากีฬาปกติในแง่ของการดูแลหรือต้องมีโค้ชผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่ากีฬาทั่วไป
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่เราพยายามปรับเปลี่ยนให้การเรียนรู้เป็นของเด็กไม่ใช่ของคุณครูที่มาสอนอย่างเดียว ต้องปรับหลักสูตรให้มีความคล่องตัวอย่างที่สมาชิกได้เสนอ ปัจจุบันเราใช้หลักสูตรตั้งแต่ปี 2551 ล่วงเลยมาถึง 10 ปี ที่ไม่มีการปรับหลักสูตรเราได้มีการขยับหลักสูตรทั้งหมด 66 โรงเรียนนำร่องตาม พ.ร.บ.นวัตกรรมทางการศึกษา ปัจจุบันหลายโรงเรียนจากเดิมที่กำหนดวิชาเรียนเวลาปีนึงประมาณ 1,200 ชั่วโมง หรือเรียนวันละ 7 – 8 ชั่วโมง เหลือเพียงแค่ 800 ชั่วโมง ทำให้ 400 ชั่วโมงที่เหลือ เด็กจะมีวิชาที่สามารถไปเรียนรู้วิชาที่ชอบได้ ซึ่งในหลายโรงเรียนมีการบูรณาการ เช่น หลักสูตรมวยไทย ที่เราทำร่วมกับทางคณะซอฟต์พาวเวอร์ผลักดันมวยไทยเข้าสู่ระบบการศึกษา โดยปีที่แล้วเรามีการทดลอง 20 กว่าโรงเรียน ปัจจุบันหลักสูตรมวยไทยเป็นหนึ่งในวิชาเลือกที่โรงเรียนสามารถทำได้ ส่วนในเรื่องของกีฬาโรงเรียนกรุงเทพมหานครจะมีการจัดแข่งกีฬาช้างน้อยเกมส์ มีการผลักดันหลายชนิดกีฬาที่ไม่ได้เรียนแต่เด็กมีความสนใจ และปัจจุบันเราก็จะมีกีฬาที่เพิ่มเติมเข้าไปเป็นกีฬาทดลอง เช่น กีฬาที่เป็นการเรียงขวด และกีฬาจักรยานขาไถที่มีในประถมวัย ส่วนเรื่องสเก็ตบอร์ดเป็นหนึ่งในกีฬาที่คนสนใจเยอะ ตนขออนุญาตนำข้อเสนอในวันนี้มาบรรจุไว้ในกีฬาช้างน้อยเกมส์ในครั้งหน้าถ้าเป็นทางเลือกได้ ส่วนเรื่องการปรับปรุงลานกีฬาเอ็กซ์ตรีม ในกรุงเทพมหานครมีประมาณ 20 ลาน ในปัจจุบันเรามีการผลักดันอยู่ซึ่งมีลานที่เราทำงานร่วมกับทางเอกชน แล้วคนที่เข้าใจในเรื่องของสเกตบอร์ดที่สุด
น.ส.ภัทราภรณ์ กล่าวสรุปว่า การมองการศึกษาให้ไม่แยกออกจากเรื่องเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ดีโดยเด็กในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นคนในชุมชน การที่มีหลักสูตรมวยไทยตนคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เยาวชนหลุดออกจากความยากจนได้ในอนาคต อยากฝากเพิ่มเติมเนื่องจากที่ตนทำโครงการสเก็ตบอร์ดพบว่ามีความเข้าใจผิดเยอะมากว่าการสอนกีฬาเอ็กซ์ตรีมในเด็กเป็นเรื่องอันตราย อาจทำให้เด็กกระดูกหัก ซึ่งความจริงแล้วการเรียนการสอนของเราเป็นการสอนแบบเบสิค การสอนเรื่องการทรงตัว จึงอยากให้ช่วยสื่อสารตรงนี้ไปด้วย
——————————
ผู้ชมทั้งหมด 160 ครั้ง, ผู้ชมวันนี้ 6 ครั้ง